วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

10 สิ่งที่ไม่เคยมีใครบอกเรา เมื่อจบการศึกษา

     จบการศึกษาเป็นเสมือนก้าวแรกของการเดินออกไปสู่โลกกว้าง ที่เหล่าเด็กจบใหม่จะต้องพบเจอกับสิ่งต่าง ๆ มากมายในชีวิต พวกเราต่างมุ่งมั่นที่จะไขว่คว้าชีวิตที่ดี มีการงานที่ มั่นคง ด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในศักยภาพของตัวเองว่าจะต้องผ่านพ้นทุกอย่างไปด้วยดี และก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในชีวิต แต่ถึงอย่างนั้น แค่เพียงประสบการณ์ 4 ปีของเรา อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับการเผชิญหน้าต่อโลกของความเป็นจริงที่เราจะต้องพบเจอหลังจากนี้


1. โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้เหมือนกับสิ่งเราคาดไว้
          ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เราศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย เราถูกปลูกฝังให้เห็นภาพของโลกที่แสนสดใส มองว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องง่าย เพราะว่าเราคือบัณฑิตผู้มีศักยภาพของสังคม แต่แท้ที่จริงแล้ว ภาพที่สวยหรูนั้นก็ไม่ต่างจากคำโกหก เพราะโลกไม่ได้ง่ายขนาดนั้น การใช้ชีวิตคือการดิ้นรนและฟันฝ่า พวกเราที่เป็นบัณฑิตใหม่ล้วนแต่ด้อยประสบการณ์ และขาดการเตรียมพร้อม ดังนั้นเพื่อการก้าวออกไปเผชิญต่อโลกได้อย่างมั่นคง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อสิ่งต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
2. ปริญญานั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
          จากสถิติล่าสุดของสำนักข่าวเอพีระบุว่า อัตราการว่างงานในหมู่ผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่สูงถึง 53% นั่นหมายความว่า มีบัณฑิตจบใหม่เกินกว่าครึ่งที่ยังเตะฝุ่น ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการแข่งขันที่สูงมากในตลาดแรงงาน ผสมกับความต้องการแรงงานในตลาดที่น้อยลงหลังจากหลายอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
          นอกจากนี้ ผลการเรียนของเหล่าบัณฑิตก็มักมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.00 ซึ่งนั่นทำให้เราแทบจะไม่มีความแตกต่างไปจากบัณฑิตคนอื่น ๆ เลย ดังนั้นการได้รับงานนักศึกษาจบใหม่อาจจะไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด และปริญญาก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้ได้งานเสมอไป
3. เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ทำให้เราหางานได้ยากขึ้น
          เทคโนโลยีเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องหลังชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ ดังเช่นการทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ หรือกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะทำให้เราเกิดความสะดวกสบายในชีวิต มันก็เป็นสิ่งที่เข้ามาลดบทบาทความสำคัญ และลดความจำเป็นในการจ้างงานมนุษย์เช่นกัน
          อย่างไรก็ตามยังนับเป็นเรื่องดีที่อุตสาหกรรมหลายประเภทยังคงต้องการแรงงานมนุษย์ เข้าไปควบคุมการทำงาน และดำเนินงานในสิ่งที่ผู้ใช้บริการทำผ่านระบบออนไลน์ของบริษัทอยู่
4. ใช่ว่าทุกสิ่งจะเหมาะสมสำหรับเราเสมอไป
          ในโลกของการทำงาน บางครั้งเราอาจจะพบกับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือการไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ หรือต้องพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อไม่ได้รับในสิ่งที่คาดหวังไว้ จนทำให้เราอยู่ในสภาวะที่เศร้าซึม พร้อมกับเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในใจ นั่นเพราะที่ผ่านมา เราถูกปลูกฝังให้มีความคาดหวังถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เราพอใจ แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่มีอยู่บนโลกของความเป็นจริงก็ตาม
5. คนรักที่คบกันสมัยมหาวิทยาลัยมักจะกลายเป็นความทรงจำสีจาง ๆ
          อีกสิ่งหนึ่งที่คู่รักในรั้วมหาวิทยาลัยไม่เคยตระหนักและไม่คาดว่าจะเกิด ขึ้นก็คือ ความสัมพันธ์ของพวกเขามักจะจบลงเมื่อบัณฑิตทั้ง 2 ก้าวออกมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง เพราะสิ่งต่าง ๆ และความกดดันที่เข้ามาในชีวิตจะทำให้พวกเขาเกิดความซับซ้อนในตัวเอง จนเติบโตขึ้นและเรียนรู้ถึงการจัดลำดับความสำคัญของงาน หรือสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกในการใช้ชีวิตเสียใหม่ ซึ่งจะทำให้พวกเขาต่างก้าวเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง จนเป็นจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์นั้นในที่สุด
6. การเกิดความคิดว่า ชีวิตตอนเรียนมหาวิทยาลัยคือช่วงชีวิตที่ดีที่สุด
          หากเรากำลังคิดว่าช่วงเวลา 4 ปีในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของเราแล้วล่ะก็ คิดผิดแล้วล่ะ เพราะไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะบอกได้ว่าทำไมช่วงเวลาเหล่านั้นจะต้องเป็นเวลาในชีวิตที่ดีที่สุด ขณะที่โลกภายนอกยังมีกิจกรรมต่าง ๆ รออยู่อีกมากมาย มหาวิทยาลัยเป็นเพียงบันไดให้เราก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีที่สุดของเราเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาแล้วล่ะก็ นั่นก็คงเป็นสัญญาณว่าชีวิตของเรากำลังอยู่ในช่วงขาลง ทำให้เราเกิดความโหยหาช่วงเวลานั้นมากเหลือเกินเท่านั้นเอง
7. นักเรียนที่สอบได้เกรด C เป็นผู้ขับเคลื่อนโลก
          เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักศึกษาทั้งหลายที่จะพยายามเรียนรู้ และมุ่งมั่นทำข้อสอบเพื่อคว้าเกรด A มาครอง ในขณะที่ใครอีกหลายคนที่ทำข้อสอบได้เพียงเกรด C กลับใช้ช่วงเวลาในการเรียนรู้นั้น เพื่อหาทางก่อตั้งกิจการของตัวเอง ซึ่งจริง ๆ แล้ว สัญชาตญาณในการเป็นเจ้าของธุรกิจนี้ต่างหากที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่เราได้ มากกว่าความรู้ที่มีอยู่เพียงในตำรา ซึ่งไม่สามารถนำมาเป็นคู่มือในการใช้ชีวิตได้ จนบางครั้งอาจเป็นเรื่องตลกเมื่อมหาวิทยาลัยได้กลายมาเป็นสถานที่ ซึ่งนักเรียนที่สอบได้เกรด A สอนนักเรียนที่สอบได้เกรด B ว่าจะทำงานให้นักเรียนที่สอบได้เกรด C ได้อย่างไรบ้าง
8. ผูกมิตรสร้างสัมพันธ์
          อาจารย์บางคนอาจจะเคยแนะนำแล้วว่าเครือข่ายของเราเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าเราไม่ได้รอบรู้ในทุก ๆ สิ่งบนโลก แต่เพื่อน ๆ และคนรู้จักของเราอาจจะมีความรู้ในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเลือกคบหากลุ่มคนที่หลากหลาย จากกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และจับตาดูว่าพวกเขามีการทำงานร่วมกันอย่างไรบ้าง เราควรจะคบหาทั้งเพื่อนที่เป็นเด็กเรียนและเด็กกิจกรรม เพราะใครจะรู้ว่าสักวันเราอาจจะต้องโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักของเราก็ได้
9. ทุกการกระทำจะส่งผลตามมาเสมอ
          ในมหาวิทยาลัยเราสามารถทำในสิ่งที่เราชอบโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลที่จะตามมา แต่ในโลกของความเป็นจริงนั้นเราต้องตระหนักอยู่เสมอว่าทุกการกระทำและทุกการ ตัดสินใจของเราจะส่งผลคืนสนองกลับมาเสมอ
10. การทำงานหนักและทุ่มเท
          เราจะสามารถประสบความสำเร็จได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการทำงานหนักและการทุ่มเทของเราเอง พรสวรรค์อาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นใด ๆ และในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีหลักสูตรที่จะสอนว่าเราจะก้าวผ่านความล้มเหลวของเรา ไปได้อย่างไรด้วย เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเราให้ปีนขึ้นจากหลุมแห่งความล้มเหลวได้ ก็คือประสบการณ์ของเราเอง
          สุดท้ายนี้ อยากฝากถึงบัณฑิตทุก ๆ คนนะคะว่า อย่าได้กลัวที่จะล้มเหลว อย่าได้เกรงกับอุปสรรคที่กีดกันเราได้ อย่าได้เป็นเพียงบัณฑิตมหาวิทยาลัยที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ  แต่ให้เรากลายเป็นบัณฑิตนักแก้ปัญหาและทำงานได้ทุกสถานการณ์
ที่มา : http://education.kapook.com/view62298.html

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

11วิธีที่จะอ่านหนังสือสอบคนเดียวให้Work!


ช่วงนี้เป็นช่วงที่เข้าสู่เทศกาลสอบปลายภาค หลายคนอาจจะสอบเสร็จแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่ได้สอบ หรือรอสอบตอนอื่นแล้วยังอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ลองมาอ่านข้างล่างนี้ดูค่ะ เป็นวิธีที่เราใช้บ่อยๆสมัยเรียน อาจจะไร้สาระบ้าง แต่ทำตามแล้วมันแจ่มนะเออ
1.อย่าทะเลาะ หรือมีเรื่องที่ทำขุ่นหมองข้องใจกับแฟน
อย่าทำเป็นล้อเล่นไปเชียว ใครที่มีแฟนคงจะรู้ว่าเขาหรือเธอมีอิทธิพลมากขนาดไหนต่อการอ่านหนังสือสอบ เรื่องอื่นกับงานน่ะใครๆก็บอกว่าแยกแยะได้ แต่เว้นเรื่องนี้ไว้เรื่องนึง วันไหนที่คุณทะเลาะกับแฟน หรือถูกแฟนบอกเลิกในช่วงสอบล่ะก็ มันทำให้คุณคิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยล่ะ ตอนอ่านหนังสือก็จะนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดกับแฟนเป็นพักๆ นอกจากไม่มีสมาธิอ่านหนังสือแล้วอาจจะประชดชีวิตตัวเองด้วยการทำตัวให้เหลวแหลกเลยก็ได้
2.ทำอย่างอื่นให้เสร็จแล้วค่อยอ่าน
เวลาที่ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำตอนใกล้ตายก็รู้สึกตายตาไม่หลับเลยใช่มั้ย ตอนอ่านหนังสือก็เหมือนกัน พอมีอย่างอื่นที่ค้างคาแล้วไปอ่านหนังสือก็จะคิดถึงแต่เรื่องนั้น ลังเลคิดว่าจะทำต่อดีมั้ยหรือไม่ทำดี หรือที่จริงควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ คิดอยู่นั่นแหละ ตัวหนังสือที่อ่านๆก็เลยกลายเป็นเรื่องผ่านตาไป
3.ตั้งใจเรียนซะสิ
หายากนะที่จะมีอาจารย์คนไหนมาช่วยทวนเรื่องที่เคยเรียนก่อนสอบ(บอกว่าจะออกอะไรบ้างก็บุญโขแล้ว) ท่านก็มีเวลาส่วนตัวเหมือนเรา ถ้าเข้าใจตั้งแต่อยู่ในห้องเรียน เวลาอ่านหนังสือช่วงใกล้สอบก็ง่ายขึ้น เพราะพอจะอ่านเราก็รู้สึกว่า เฮ้ยเรื่องนี้เรารู้อยู่แล้ว จำได้ๆ งั้นผ่านไปเรื่องอื่นเลยแล้วกัน ดีกว่ามาคิดเฮ้ยเรื่องนี้มันเป็นไงมาไงฟะ เห็นมั้ยย่นเวลาอ่านหนังสือได้เยอะ แต่ก็อย่ามั่นใจมากจนเกินไป บางวิชามันก็ไม่ได้ออกตามหนังสือ(อย่างเช่นคณิตศาสตร์ สอนอย่างมัธยมแต่ข้อสอบยังกับป.ตรี เรื่องแคลคูลัสน่ะเห็นมั้ย) การทำความเข้าใจตั้งแต่ในคาบเรียนมันจะทำให้เรามีเวลาไปทำโจทย์ที่ยากกว่าตอนอยู่ในห้องเรียนได้ค่ะ
4.หนีห่างจากIT
ตอนอ่านหนังสือมันอย่างน้อยก็มีแค่กระดาษกับแสงไฟเท่านั้นแหละที่จะช่วยเราได้ แต่เทคโนโลยีมันทำให้เราสะดวกสบายและได้รับความบันเทิงมากไปหน่อย เลยทำให้หลายคนเคลิ้มไปกับมัน โดยเฉพาะพวกอยู่หอพักแล้วมีไวเลสเนี่ยต่อโน้ตบุ๊คกันกระจายเลยใช่มั้ย เล่นเอาซะไม่อยากอ่านหนังสือเลย ทางที่ดีก็อยู่ห่างๆมันซะ ถ้าใครต้องอ่านจากสไลด์PowerPointก็ปริ๊นใส่กระดาษ(มันอ่านง่ายกว่าเลื่อนไปเลื่อนมาในคอมจริงๆนา) ฝากไว้ที่บ้าน หรือเอาเก็บใส่กล่องสมบัติแล้วล็อคกุญแจไว้ซะ หรือถ้ากลัวจะไขขึ้นมา ก็ทำให้มันพัง เอาน้ำราด ปล่อยไวรัสลงคอม เท่านี้เราก็จะห่างมันได้เป็นเดือนเลยล่ะ วะฮะๆฮ่า
5.อ่านหนังสือตอนกลางคืน
วิธีเบสิคสำหรับคนชอบความเงียบ ถ้าใครคิดว่ากลางวันมันร้อน แล้วเจอเสียงดังๆจากคนรอบข้างแล้วมันทำให้เสียสมาธิ อ่านไม่ได้ ลองเปลี่ยนเวลามาอ่านในยามราตรีค่ะ ทั้งเงียบ ทั้งเย็น ส่วนใหญ่หลับกันหมดแล้ว ถึงจะมีคนอ่านกลางคืนเหมือนกันก็ทำเสียงดังไม่ได้เพราะจะรบกวนการนอนของคนที่เหลือ แถมไม่มีใครมาคุยรบกวนตอนอ่านหนังสือ โลกนี้เป็นของข้าแล้ว คราวนี้จะตั้งใจอ่านอะไรก็อ่านไปค่ะ แต่ถ้าอ่านแบบโต้รุ่งแบบไม่หลับไม่นอนระวังผลข้างเคียงตอนทำข้อสอบนะคะ เพราะสิ่งที่อ่านไว้อาจจะสูญเปล่าเพราะลืม เบลอ ง่วงนอน ดีไม่ดีจะหลับคาห้องสอบซะอีก  สรุปวิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายพร้อมด้วย อ่อ และวิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่กลัวผีนะ
6.นอนให้อิ่มแล้วค่อยอ่าน
อันนี้สำหรับคนบริหารเวลาเป็นจริงๆค่ะ ไม่รู้ว่าหนังสือมันมีสารอะไรเคลือบไว้ พอเริ่มอ่านหนังสือได้ซักหน้าสองหน้าก็จะเริ่มทำตาปรือ สมองเบลอ แล้วก็ Zzzz กว่าจะตื่นมาก็ไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบแล้ว คราวนี้กลายเป็นอ่านแบบลนๆอีก แล้วอะไรจะเข้าหัวล่ะ ให้เรานอนจนเต็มอิ่มซะก่อน พอตื่นมาในหัวมันก็จะว่างเปล่า ไม่ใช่สมองกลวงนะ แต่พร้อมที่จะรับอะไรมาใส่หัวโดยที่ไม่มีอาการต่อต้านเลยตะหากล่ะ
7.อย่าอ่านในห้องสมุดที่เปิดแอร์เย็นๆ
รู้มั้ยอากาศเย็นๆมันน่านอนแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะนอนมาเต็มอิ่มแล้วก็เถอะ ขนาดนอนบนเตียงในห้องแอร์ตื่นมาแทบไม่อยากจะลุกขึ้นเลย แล้วนั่งอ่านหนังสือเฉยๆจะทนไหวเหรอ ถ้าจำเป็นจริงๆก็เปิดให้มันเย็นแบบพอดีๆค่ะ ไม่งั้นอ่านไปไม่กี่หน้าก็ฟุบคาโต๊ะ อาเมน
8.เปลี่ยนคนที่เราไม่ชอบหน้าให้กลายเป็นคู่แข่งทางการเรียน
เอาเถอะถึงเค้าจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเราหมั่นใส้เค้าน่ะ แต่มันก็รู้สึกดีใช่มั้ยที่มีอะไรเหนือกว่า เวลาที่คิดจะทำอะไรที่ไม่เข้าท่าในช่วงสอบให้คิดเอาไว้ซะว่า ถ้าเจ้าหมอนี่มันได้คะแนนดีกว่าเราคงถูกเยาะเย้ยแน่ๆ จะต่อหน้าหรือลับหลังก็เถอะ แต่ไม่ต้องไปประกาศท้าแข่งกับมันนะ อย่างน้อยก็เผื่อเราแพ้ไง
กรณีตัวอย่าง เราทะเลาะกับเพื่อนที่ผลการเรียนสูสีกันตอน ม.ต้น  เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแหละ แต่ทิฐิแรงเกินไปเลยคืนดีช้าไปหน่อย ช่วงที่แง่งๆใส่กันก็อ่านหนังสือสอบเพราะแรงฮึดแปลกๆ แบบกว่ากลัวมันทำคะแนนได้เยอะกว่าเราแล้วเอาไปกระแนะกระแหนน่ะ แถมคะแนนสอบก็ประกาศในห้องด้วย สุดท้ายก็ชนะมัน ฮี่ๆ
 9.คิดถึงหน้าพ่อแม่ซะบ้าง
ในสังคมของพ่อแม่เราเวลาคุยกับชาวบ้านเรื่องลูกๆ ถ้ายังเรียนไม่จบก็จะพูดกันเรื่องเรียนทั้งนั้นแหละ คงไม่มีพ่อแม่คนไหนกล้าพูดอวดให้คนอื่นเค้าฟังหรอกว่าลูกตัวเองเรียน5ปี หรือใกล้โดนรีไทร์ เวลาที่เรารู้ผลการเรียนแย่ๆแล้วพ่อแม่มาถามก็รู้สึกอึดอัดใช่มั้ย(บางคนนี่ถึงขนาดรอรับผลการเรียนทางจดหมายเพื่อเอาไปซ่อนเลย) ถ้ายังไม่ได้หาเงินส่งตัวเองเรียนก็นึกถึงผู้มีพระคุณต่อเราไว้ก่อน นึกถึงสีหน้าตอนที่คนอื่นถามถึงผลการเรียนของคุณ
10.หักห้ามใจที่จะทำเรื่องอื่นไว้ซะ
พิมพ์ๆไปมันง่าย อ่านง่าย แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ทำยากเอาเรื่อง ถึงจะอยากทำโน่นทำนี่ก็ต้องหยุดความเอาแต่ใจตัวเองเอาไว้ก่อน ตารางสอบก็กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แถมไม่ได้สอบทุกวัน(ส่วนใหญ่คงเป็นแบบนี้กัน) เวลาว่างๆไปอ่านหนังสือซะสิ
11.คลิกไปที่มุมขวาบนเถอะ
พอได้สติก็จะรู้ตัวแล้วว่ามันเริ่มไร้สาระ และนี่เป็นการเริ่มต้นที่จะหักห้ามใจตัวเอง ฉะนั้นคลิกไปซะ เดี๋ยวนี้เลย  (ALT+F4 ก็ได้ อิอิ)

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เพื่อน Vs คู่แข่ง

      
            เคยแข่งกับใครม่ะ ?  ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามเราพยายามเอาชนะคนๆนั้นแทบตายแต่ก็ไม่เคยเอาชนะได้สักเรื่อง อย่างเรื่องเรียนเราก็แข่งกัน(แบบเล่นๆแอบจริงจังที่ตกลงกันไว้สนุกๆ)แต่เหมือนชั้นกลายเป็นคนกระจอกทุกที  ไม่ว่าจะแข่งเรื่องอะไรก็เป็นชั้นที่เป็นฝ่ายแพ้ทุกทีทำไมกัน





          อย่างสอบกลับมาก็กลายเป็นชั้นที่ทำไม่ค่อยจะได้หรือว่าเป็นเพราะชั้นกดดันตัวเองมากเกินไป  ตอนแรกมันก็สนุกอยู่หรอกน่ะแต่พอสอบเสร็จเพื่อนคนนั้นมันอาจไม่รู้ตัวมั้งที่แสดงออกมาสะขนาดนั้นก็เราทำข้อสอบไม่ได้เข้าใจม่ะ เวลาออกมาจากห้องสอบเลยเศร้า แงๆ T^T มันก้รู้แหละว่าเราเศร้า  แต่มันก็ออกมาทำท่าดี๊ด๊าใส่  พูดแบบประมานว่ามันทำได้  คนอื่นน่าจะทำข้อสอบได้เต็มกันเยอะเว้นแต่ว่ากากเท่านั้นแหละถึงทำไม่ได้ประมานนั้นแถมตบท้ายทีหลังเหมือนตบหัวแล้วลูบหลังว่าแต่เวลามันก็ให้มาน้อยไปปข้อสอบตั้งเยอะมันเลยรนๆโอกาสทำข้อสอบพลาดก็เยอะอยู่อะแหละ โอ๊ยยยๆจี๊ดใจอ่ะ >.<  แถมทำตัวดี๊ด๊าเป็นพิเศษ  เราก็เข้าใจแหละว่าก็คนมันทำข้อสอบได้  แต่เรามันทำไม่ได้นิเราก็ย่อมรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าเป็นธรรมดาจริงม่ะยิ่งเจอคำพูดพวกนั้น  มันยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่แล้วอยากเอาชนะมากขึ้นๆ ทุกทีสักวันชั้นต้องเอาชนะให้ได้เลยคอยดู(นี่ไม่ใช่ความรู้สึกเกลียดชังอะไรน่ะ)ก็แค่อยากสั่งสอนเพื่อนคนนี้สะบ้างเพราะเรารู้ดีว่าการโดนพูดเหมือนดูถูกมันเป็นไงโดยเฉพาะคนที่เราอยากให้เค้าเป็นคนทีเข้าใจเรามากที่สุดแต่เค้ากลายเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกแย่ เราไม่เคยเลยที่จะพูดแดกดันเพื่อนคนนี้ตอนเค้าทำข้อสอบไม่ได้แต่เค้าไม่เข้าใจเราบ้างเลย  เคยพูดเล่นๆ แอบจริงจังไปว่าก็ใช่สิ นายมันได้คะแนนเยอะนิ  เรามันกากได้คะแนนน้อย  มันก็เหมือนจะพูดว่าโอ๊ยยยย!!!! อย่าคิดมากเราพูดเล่นแอบคิดจิงจังหลอ  ล้อเล่นๆ  แต่คือนึกในใจที่นายยยยยแสดงออกมาเนี่ยมันไม่ใช่เล่นๆ เลยน่ะ  เหมือนแสดงออกมาว่าชั้นมันอ่อนหัด อร๊ายยยยยยยโว้ววววกรี๊ดดดดด > <  หมั่นไส้วุ๊ย เมื่อไหร่วันนั้นจะเป็นของชั้นบ้างน่ะ  ฉันต้องเอาใหม่เริ่มใหม่พยายามใหม่สิน่ะต้องเอาชนะให้จงได้จะทำให้นั่งเงียบไม่พร่ามไม่โม้เลยคอยดู  โอกาสยังมีอีกครั้งอย่างน้อยๆ แค่เสมอก็ยังดี เกมส์มันยังไม่ Over สะหน่อย

         เรื่องมันไม่ได้ซีเรียสอะไรมากหรอกก็แค่แอบหมั่นไส้แล้วก็อยากสั่งสอนสะบ้าง 555 จริงๆ มันก็โอยุน่ะแข่งกันเรียนเนี่ย  แต่แค่มันควรจะอยู่บนความเหมาะสมแล้วก็เวลาพูดทำอะไรให้นึกถึงใจคนอีกคนที่เค้าพลาดบ้างไม่ใช่ซ้ำเติม  การที่เราเก่งกว่าแล้วยังปลอบใจคนอื่นให้คนที่เค้าเก่งน้อยกว่าเราไม่ให้เสียใจนอกจากจะทำให้เราดูดีในสายตาเค้าแล้วยังทำให้เค้ามองเราในแง่ดีๆมากกว่ามองเราแบบอยากเอาชนะแล้วอยากซ้ำเติมเราทีหลังน่ะ
   
ปล. เรากับเพื่อนคนนี้สนิทกันมากช่วยเหลือกันได้ทุกเรื่องตลอดแหละ แล้วเราก็รักกันมากด้วย แค่หมั่นไส้ตอนแข่งกันแล้วมันทับถมเรานี่แหละ (เอ๊ะ  หรือว่าเรามันขี้แพ้ชวนตี) อร๊ายยยยไม่สิไม่ใช่อย่างงั้น  อิอิ
          
          

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ช้านมันยัยขี้ลืมที่ลืมเก่งที่สุดในสามโลก







ให้ตายซี้!!!!!!!  ทำไมถึงชอบลืมนั่นลืมนี่ไม่หยุดไม่หย่อน มันเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายเลยจริงๆ  ตั้งแต่เรียนมหาลัยมา จนตอนนี้ก็ปี 2 แล้ว มีสบการณ์ของหายแบบเกินจะบรรยายจริงๆ  โดยสาเหตุอันเนื่องมาจากการวางของไม่ระวัง แล้วก็อิอาการขี้ลืมของตัวเอง  จริงๆ เล้ยย

          ตอนปีหนึ่งก็ทำบัตร ATM หาย แล้วก็มีคนเจอมาให้ พอปีสองก็ยังมิวายทำหายอีก ก็เลยไปทำใหม่  หลังจากนั้นก็ทำของอีกธนาคารนึงหายซึ่งมันรวมเป็นบัตรนักศึกษาในใบเดียวกัน  แล้วก็ทำใหม่กว่าจะทำเรื่องกว่าจะได้บัตรแถมเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ นานา  ปาเข้าไปก็หลายตัง  แต่นี่มันแค่จิ๊บๆ ล่าสุดอันนี้เด็ดดดด   ทำกระเป๋าตังค์หายทั้งใบค๊าาาา    ในนั้นก็มีตังค์ยุประมาณห้าร้อย ซึ่งถามว่าเสียดายมั๊ยก็เสียดายน่ะ  แต่ที่เจ็บแสบยิ่งกว่าคือ  บัตร ATM สองใบ บัตรนักศึกษา บัตรประชาชนและอีกต่างๆ นานา  คราวนี้มันหายไปพร้อมๆ  ตอนหายก็น่าจะเป็นอิตอนไปกินข้าวที่โรงอาหารแน่เลย  บ้าจริง  เหมือนอยากจะด่าตัวเองให้แรงๆ  ทำบ้าอะไรลงไป  แถมตอนนี้ก็ไม่กล้าโทรไปบอกแม่อีก  ขืนแม่รู้โดนด่ายับ  เดี๋ยวนั่นหายเดี๋ยวนี่หาย  มันก็สมควรโดนด่าแหละไม่รู้จักระมัดระวัง  ลืมโน่นลืมนี่โดนทำใหม่มาก็หลายครั้งไม่รุจักจำ  ทำหายอยู่ได้  ตอนนี้ก็หามันไปสะทั่วมันต้องมีคนเจออยู่แล้วแล้วก็คิดว่าคนที่เจอก็น่าจะเป็นนักศึกษาด้วยกัน  แล้วก็พยายามตามหาตามที่ที่คิดว่าเค้าน่าจะเอาไปฝากไว้  แต่พอไปถามกลับไม่พบเลยสักที่จนตอนนี้เริ่มท้อแล้วจริง ทำบัตรใหม่หมดนี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยน่ะ  แถมตอนนี้ก็เริ่มจะมีสอบกับอีกไม่นานก็จะสอบไฟนอลแแล้วมันต้องใช้บัตรนักศึกษาไม่ก็บัตรประชาชนยืนยันตัวตนของเราตอนสอบของดันมาหายสะได้  ตอนนี้ก็เลยได้แต่ภาวนาหวังว่าคนที่เจอจะเอามาคืนในวันนี้พรุ่งนี้  เพราะตอนนี้ตังค์ที่มีติดตัวอยู่ก็ใกล้จะหมดแล้ว  อีกอย่างในกระเป๋าตังค์ก็มี่ทั้งว่าอยู่หอพักไหน เรียนคณะอะไร  อันที่จริงมันไม่ได้ยากเลยหากคนท่เจอจะติดต่อมา  ก็หวังว่ามันจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับเพื่อนๆ  ให้ระมัดระวังโดยเฉพาะเรื่องของสำคัญแบบนี้เพราะถ้ามันหายขึ้นมามันก็ต้องมาวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่น่าเป็นเรื่องอย่างที่เห็น

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ชีวิตมหาลัยกับงาน Byenior




                  ช่วงปลายเทอมสองแบบนี้หลายๆคนคงเตรียมตัวสวยหล่อ  ไปงานบายเนียร์กันอยู่สิน่ะ    พูดถึงงานบายเนียร์ แหม หลาย ๆ คนคงสงสัยกันว่างานบายเนียร์ มันคืองานอะไร แล้วที่ชื่อว่างานบายเนียร์ มันมาจากไหน ก็ต้องอธิบายกันแบบง่าย ๆ เข้าใจและเห็นภาพเลยว่า เป็นงานเลี้ยงอำลารุ่นพี่ปี 4 กัน โดยจะเรียกเต็ม ๆ ว่า BYE SENIOR (บายซีเนี่ย) โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้อง ให้รุ่นพี่ได้ลำลึกถึงความหลังกับบรรยากาศเก่า ๆ โดยรวม  จะว่าไปมันก็คือเลี้ยงส่งพี่ปี 4 นั่นแหละ


ลักษณะของงาน
โดยทั่วไปจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ทั้ว ๆ ไป แต่ในปัจจุบันดูเหมือนจะมีการให้ความสำคัญมากขึ้นเพราะการจัดงานแต่ละครั้ง ผู้เข้าร่วมงานจะมีการแต่งตัวอวดโฉมความงาม บางครั้งก็จะมีการจัดธีมงานให้เป็นไปในรูปปแบบต่าง ๆ ส่วนใหญ่ธีมงานจะดูออกไปทางงานราตรีกลางคืน เพราะหลาย ๆ ที่จะมีสถานที่จัดงานเป็นโรงแรม ซึ่งแต่ละงานจะไม่เหมือนกัน

ลักษณะการแต่งกายไปงานบายเนียร์

ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางแนวชุดราตรี เดรสในผู้หญิง ส่วนผู้ชายก็แต่งกายเรียบร้อยดูดีแค่นี้ก็เริ๊ดดดและ ^^











          งานบายเนียร์นอกจากจะถือได้ว่าเป็นงานที่ได้อวดสวยอวดหล่อแล้ว  เรายังได้มาเลี้ยงส่งเพื่ออำลารุ่นพี่  ปี 4ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ซึงถือเป็นงานสุดท้ายที่จะได้สังสรรค์กันแบบพี่น้องก่อนจะออกไปทำงานหรือศึกษาต่อนระดับต่อไป  จึงอยากอวยพรให้พี่ๆ ปี 4 ที่กำลังจะจบการศึกษาทุกคนโชคดีทุกคน  น่ะค่ะ ^^ 


วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เมื่อฉันหน้าปลวกม๊ายยยย



เอาหน้าตามาประเมินทุกอย่างเลยหลอ  หน้าตาดีทำอะไรก็ดีไปหมดงั้นหลอ!!!! 





           ตอนเรียนมัธยมเราก็รู้ตัวอยู่หรอกน่ะ ว่าเราไม่ได้ขาวไม่ได้สวย  ไม่ได้เริ๊ด  แต่เราก็มีความสุขดีไม่เคยโดนเอาไปเปรียบเทียบไม่ก็ล้อกันไปสนุกๆในกลุ่มเพื่อน   แต่พอเรียนมหาลัยหลายสิ่งหลายอย่างมันโดนมองในมุมมองที่ต่างออกไป  มันกลายเป็นว่าคนหน้าตาดีก็โดนมองว่าเป็นคนสำคัญได้ทำนั่นนี่มีแต่คนสนใจ





            เรามีแฟนน่ะคบกันมาตั้งแต่มัธยมจนเรียนมหาลัยเราก็ยังคบกันอยู่  แฟนเราก็ถือว่าเป็นคนหน้าตาดีคนนึงเลยแหละ  บางทีเราก็รู้สึกแย่ที่คนอื่นชอบมองว่าเรากับแฟนเราดูไม่เหมาะสมกัน  บางทีเราก็รู้สึกน่ะว่าเราคงคิดมากไปเองและคิดว่าถ้าเรารู้จักปล่อยวางเราก็จะไม่ต้องสนคำพูดใคร  แต่มันเป็นเรื่องธรรมชาติจริงมั๊ย   กับการที่โดนมองมา  โดนพูดถึงตอกย้ำว่าเรามันไม่สวย ดำ คำนินทาต่างๆนานา ลอยเข้าหูมา บ่อยๆใครมันจะไปทนไหวฟร่ะ  เราไม่ได้มองว่าตัวเองดูไร้ค่าหรอกน่ะและแน่นอนเราไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ  หรอกเรายอมรับน่ะว่าตอนนี้หน้าตาเราปลวกกกกกก ตัวดำ มองยังไงก็ไม่สวย แต่อีกไม่นานหรอกเราจะต้องดูดีจนใครๆ ต้องหันมองมาให้ดู  โดยเฉพาะอิพวกชอบดูถูกกันดีนัก ใครมันจะไปยอมให้ดูถูกกันอยู่ได้ทั้งปีทั้งชาติ  มันต้องมีวันของชั้นบ้างสิน่าอีกไม่นานหรอก  สู้โว๊ยยยยยย!!!!!  






วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คำว่า นิสิต กับ นักศึกษาต่างกันยังไงน่ะ

                                                                                                                                                   คงเคยสงสัยกันใช่มั๊ยค่ะว่าทำไมมหาวิทยาลัยบางแห่งใช้คำว่า"นิสิต" บางแห่งใช้คำว่า"นักศึกษา" วันนี้จึงหาบทความดีๆ เพื่อมาแก้ข้อสงสัยกันค่ะ ^^



นิสิต คือ คำที่ใช้เรียกผู้ที่เล่าเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งมีลักษณะการพักอาศัยแบบอยู่หอนักศึกษา คือ คำที่ใช้เรียกผู้ที่เล่าเรียนในมหาวิทยาลัยทั่วไป


นิสิต จะหมายถึง นิสิตชาย และ นิสิตตา จะหมายถึง นิสิตหญิง (มีหลักฐานการเรียกนิสิตตาสำหรับ นิสิตหญิงที่เรียนจุฬาฯในสมัยก่อน)


เมื่อ 70 ปีกว่ามาแล้ว ส่วนบริเวณที่เป็นเมืองจะอยู่ในกรุงเทพชั้นใน (นับจากคลองผดุงกรุงเกษม หรือ หัวลำโพงเข้าไปจนถึงเกาะรัตนโกสินทร์) ส่วนที่อยู่ถัดจากหัวลำโพงออกมาจะเป็นพระนคร(ชื่อเรียกกรุงเทพมหานครในสมัยนั้น)ชานเมือง


มหาวิทยาลัยที่อยู่นอกเมือง ผู้เรียนมีความจำเป็นต้องอยู่หอ จึงเรียกผู้ที่เรียนมหาวิทยาลัยนอกเมืองนี้ว่า นิสิต เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(สมัยนั้นถือว่าอยู่นอกเมืองครับ แตกต่างจากสมัยนี้กลายเป็นใจกลางเมืองไป เมื่อเมืองหลวงขยายตัวมากขึ้น) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(ซึ่งในขณะนั้นมีวิทยาเขตในกรุงเทพและต่างจังหวัดหลายแห่งด้วยกัน เช่น ประสานมิตร ปทุมวัน พลศึกษา-บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ บางแสน เป็นต้น)


ส่วนมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเมือง ผู้เรียนไม่มีความจำเป็นต้องอยู่หอใด ๆ ทั้งสิ้น จึงเรียกผู้ที่เล่าเรียนว่า นักศึกษา โดยมีมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง(ขณะนั้นมีที่ตั้งอยู่ที่ท่าพระจันทร์เพียงแห่งเดียว)ริเริ่มใช้คำนี้ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยแรก มหาวิทยาลัยที่ใช้คำว่า "นักศึกษา" ในสมัยนั้น จึงได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ชื่อในปัจจุบัน) มหาวิทยาลัยศิลปากร(ขณะนั้นมีที่ตั้งมหาวิทยาลัยอยู่ที่วังท่าพระเพียงแห่งเดียว) และ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์(มหาวิทยาลัยมหิดลในปัจจุบัน ขณะนั้นมีที่ตั้งมหาวิทยาลัยอยู่ที่ศิริราช)


หลังจากนั้น วิทยาเขตอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยประจำภูมิภาค เช่น มหาวิทยาลัยบูรพา(เดิมเป็นวิทยาเขตบางแสน) มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ส่วนวิทยาเขตปทุมวันและพลศึกษาปัจจุบันได้ยุบวิทยาเขตไป และเวนคืนที่ดินกลับสู่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อใช้ในการเรียนการสอนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน)


ทั้งหมดนี้ คือ ความแตกต่างของคำว่า "นิสิต" และ "นักศึกษา" นั้นเองค่ะ ปัจจุบันนิยมเรียกผู้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยว่า นิสิตนักศึกษา ในความหมายรวมควบคู่กันไปเลย


ถึงแม้ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะเริ่มมีหอพักเป็นของตัวเองหรือไม่ก็ตาม แต่ก็นิยมใช้คำเรียก นิสิต นักศึกษา ตามแบบฉบับดั้งเดิมของแต่ละสถาบันอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน


ส่วนความเข้าใจเรื่องผู้ก่อตั้ง เรื่องการมีพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงเล่าเรียนอยู่ หรือความเข้าใจอื่น ๆ เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงทั้งสิ้น


ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยที่เรียกผู้เล่าเรียนว่า "นิสิต" ดังนี้
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาวิทยาลัยบูรพา
มหาวิทยาลัยนเรศวร
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มหาวิทยาลัยทักษิณ
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา


ส่วนมหาวิทยาลัยอื่นนอกจากนี้ จะเรียกผู้เรียนว่า "นักศึกษา" ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยรัฐอื่น ๆ และมหาวิทยาลัยเปิดทุกแห่ง




คำว่า นิสิต จึงไม่ได้มีความหมาย หรือความพิเศษอันใดต่างจากคำว่า นักศึกษา เลย มีเพียงที่มาเท่านั้นที่แตกต่างกัน

ทีนี้คงหายข้องใจ กลายเป็นความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วนะค่ะ


ขอบคุณข้อมูลจาก ^^  http://www.dek-d.com/