วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

โอ๊ย... ทีเรียนอยู่มันไม่ใช่เลยอ่า

       




             มันก็แปลกน่ะที่นับวันสิ่งที่เราเรียนอยู่มันยิ่งตอกย้ำให้เรารู้ว่า  มันไม่ใช่ตัวตนของเราเลยสักนิด เราทุกคนเรียนในคณะที่ตัวเองเลือกด้วยเหตุผลต่างๆนานา  หางานง่าย ชอบ พ่อแม่อยากให้เรียน บลาบลา เมื่อก่อนก็เคยคิดเหมือนกันน่ะว่าถ้าเลือกคณะอะไรแล้วถึงไม่ชอบก็จะเรียนต่อไป  พอมาตอนนี้ เอิ่ม...อยากซิ่วใจจะขาดแต่ทุกอย่างย่อมต้องทำด้วยความมีเหตุมีผลเพราะหากเราตัดสินใจทำอะไรลงไปนั่นก็ต้องดูผลที่ตามมาด้วยว่าจะเป็นยังไง  ไม่ว่าจะพ่อแม่โน่นนี่นั่น
             เคยคิดว่าการอยู่กับอะไรที่ไม่ชอบจะเป็นเรื่องง่าย  แต่พอเจอเข้าจริงๆ ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด   เรียนที่ว่ายาก+ไม่ชอบ==>ผลเลยกลายเป็นไม่ค่อยพยายาม ประมาณว่ามันไม่ค่อยมีแรงจูงใจให้เราอยากทำมันให้ดี  ทั้งๆที่รู้น่ะว่าถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือเราก็ทำได้  แต่เหมือนกับพอใจเราไม่อยากจะทำ ร่างกายมันก็เหมือนเฉยชาไปสะงั้น  (ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลโง่ๆ ของคนโง่ๆเลยน่ะ อิอิ)
           เคยมีอยู่เทอมนึงที่รู้สึกแย่มากๆ กับคณะที่เลือกภาควิชาที่เลือก จนมันรู้สึกแบบไม่อยากทำอะไร อ่านหนังสือไปก็แบบไม่เข้าสมองเลยทั้งๆที่ก็พยายามอ่านมันทั้งคืน  วันแต่ละวันในตอนนั้นผ่านไปแบบช้าๆแล้วก็รู้สึกทรมานมาก พอสอบคะแนนออกมาก็เลยห่วย  กลับมาร้องไห้ตาบวมก็หลายครั้งอยู่เพราะไม่รู้จะแก้ปัญหาให้ตัวเองยังไง  ปรึกษาอาจารย์ ปรึกษาพ่อแม่  จนเค้าก็เริ่มเป็นห่วงเรา  คะแนนเทอมนั้นก็แบบว่าเกรดลดวูบลงเหวไปเลย Y.Y   เฮ้อๆๆๆๆ ถึงตอนนี้ก็ยังเรียนอยู่คณะเดิมภาควิชาเดิม  เรียนแบบเดิมๆ  อย่างว่าถึงตอนนี้จะรู้ตัวดีว่าเลือกผิดไปแล้วแต่ก็มาไกลถึงขนาดนี้แล้วคงจะไม่ถอยกลับไปนับหนึ่งใหม่  เพราะมันคงจะเป็นการเสียเวลามาก  พยายามทำใจให้ชินและก้าวต่อเพราะถึงไม่ชอบคณะนี้ยังไงก็ขอเอาใบปริญญามาให้พ่อแม่ชื่นใจก่อน  ต่อจากนั้นเวลาที่เหลืออยากทำอะไร  อยากอยู่กับสิ่งไหนค่อยว่ากัน

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

8 อาหารทำให้ง่วงตลอดเวลา ห้ามกินก่อนอ่านหนังสือ !


เคยส่งสัยตัวเองบ้างไหมค่ะว่าทำไมถึงได้มีอาการง่วงนอนตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม นลองสังเกตุตัวเองดูนะค่ะว่าได้กินอาหารที่มีสาเหตุของการง่วงนอนตลอดเวลาบ้างรึเปล่าค่ะ และวันนี้เราจะมาบอกถึง 8 อาหารทำให้คุณนั้น ง่วงนอนตลอดเวลา ค่ะ ถ้ารู้แล้วว่ามีอาหารชนิดใดบ้างที่คุณชอบทานบ่อย ๆ ก็ดูให้ดีนะค่ะ ทีหลังจะได้ลองห้ามใจตัวเองไม่ให้ทานเพื่อให้คุณจะได้ไม่ต้องง่วงนอนตลอดเวลาค่ะ

 8 อาหาร "ง่วงนอนตลอดเวลา"

   

1. กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา



  
  

2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วยจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย


   

3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข



  
  

4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำเป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้าไปร่างกายก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็นจำนวนมากเมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้น                                                                                                                                                                                                                      
 5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วงเหตุผลก็คือ มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามากจึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน

  
6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอนโดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า


    

7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวาน ๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไปจากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าวก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง


     

8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกาย

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก  http://unigang.com/Article/5595 ^^

วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชีวิตมหาลัยกับการสอบมิดเทอม


           
               ช่วงนี้ก็เป็นฤดูกาลของการอ่านหนังสือสอบมิดเทอมกันแล้ว สิน่ะ  เตรียมตัวพร้อมกันแล้วรึยังเอ๋ย   ห๊ะ!!!!  อะไรน่ะยังหลอ....   ยังไม่พร้อมเหมือนกันเลย ^^ อิอิ
           
           

           การสอบมิดเทอมสำหรับในมหาวิทยาลัยแล้วถือเป็นการสอบครั้งสำคัญเพราะการสอบมิดเทอม  เนื้อหาที่สอบจะค่อนข้างเบากว่าและเราสามมารถเก็บคะแนนได้เยอะกว่าตอนสอบไฟนอล
การสอบในมหาวิทยาลัยเป็นการอ่านหนังสือที่ว่าด้วยโหมดโหด  ยิ่งสำหรับปี 1 ที่เพิ่งเข้าใหม่ๆ  แล้วยังปรับตัวไม่ค่อยทัน เพราะบางคนตอนเรียนมัธยมเป็นเหมือนกันมั๊ย ??? แบบประมาณว่าไม่ค่อยอ่านหนังสือสอบ ไม่ก็อ่านเยอะน่ะแต่ค่อยมาอ่านเอาสักก่อนสอบสองสามวันกำลังดี  แต่สำหรับมัธยมมันก็ยังถือว่าทำข้อสอบได้แม้จะเหลวไหลไปบ้าง  แต่พอมาเรียนมหาวิทยาลัยเราจะถูกอัดเนื้อหาบทเรียนแบบเยอะมากในระยะเวลาอันสั้น แล้วบางวิชาก็ไร้ซึ่งความเมตตาปรานี ไม่มีแม้แต่การแบ่งสอบย่อย  T^T  เพราะฉะนั้นการสอบมิดเทอมจึงเปรียบเสมือนตัวบ่งชี้ชะตากรรม  เพราะเมื่อคะแนนสอบออกมามันจะเป็นตัวบ่งบอกว่า เอิ่ม... ดรอปดีมั๊ย>>> หรือจะสู้ต่อดี



             
           สำหรับช่วงเวลาการสอบถือว่าเปนช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดเลยก็ว่าได้  เพราะอ่านหนังสือแบบประมาณว่าหามรุ่งหามค่ำกินนอนกับหนังสือกันเลยที่เดียว  เผลอๆ บางทีก็แอบทำน้ำลายหยดใส่หนังสือตอนหลับตื่นมาน้ำลายเยิ้มเยยยย >///<   และบรรยากาศในมหาวิทยาลัยตอนสอบแม้จะตี 2ตี 3 บริเวณหอในมหาวิทยาลัยยังเต็มไปด้วยนักศึกษานั่งอ่านหนังสือกันอยู่ บางคนก็นอนกลางวันแล้วตื่นมาอ่านหนังสือกลางคืนยันเช้ายันเช้า (พี่แกโหดจิงๆ) แล้วยิ่งตอนเข้าเซเว่นนี่ไม่ต้องพูดถึงคิวยาวเวอร์ๆ และที่สำคัญมาม่าจะขายดีเป็นพิเศษยอดขายแบบถล่มทลาย

              พอสอบเสร็จมันคือสวรรค์ดีๆ  นี่เอง รู้สึกได้ว่าตัวเองตัวเบาหวิวยังกับจะลอยได้เลย  แล้วก็รู้สึกว่า ชีวิตจะลั๊นลาเป็นพิเศษ อิอิ (รีบๆมีความสุขไว้ก่อน  เดี๋ยวพอคะแนนมิดเทอมออกค่อยเปลียนเป็นโหมดเศร้า) 

และสำหรับใครที่ไม่อยากเศร้าหรือดรอปตอนคะแนนออก  ก็อย่าลืมอ่านหนังสือกันเยอะๆ น่ะจ๊ะ  วันสอบจะได้ทำข้อสอบอย่างเต็มที่ สู้ๆ จรา fighting!!!!!!

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความแตกต่าง ระหว่างมัธยม กับมหาวิทยาลัย


ความแตกต่างระหว่าง มัธยม กับ มหาวิทยาลัย เมื่อเราอยู่มหาลัยเราจะคิดแบบนี้มั้ย 



                  ความแตกต่าง ระหว่างมัธยม กับมหาวิทยาลัย
                                                 ภาพจาก vimeo.com


เรา...
 ได้อะไรหลายอย่างจากการเข้าแถวเคารพธงชาติ
แม้... มหาวิทยาลัยจะเปิดเพลงชาติเสียงดังเพียงใดก็ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังยืนเข้าแถว
กันเป็นห้อง


เรา... รู้อะไรหลายอย่างจากกิจกรรมรักการอ่าน
แม้... เราจะจดและบันทึกความรู้ในมหาวิทยาลัยจะมีมากมายเพียงไหนก็ไม่ได้หมายความว่าเรา
ต้องส่งอาจารย์


เรา...  นั่งกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร
แม้... โรงอาหารที่มหาวิทยาลัยจะใหญ่แค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าเพื่อนเราจะอยู่กันพร้อมหน้า

พร้อมตา


เรา... .เดินไปเรียนด้วยกัน
แม้... ตึกและห้องเรียนในมหาวิทยาลัยจะหรูหรายิ่งใหญ่เพียงไหนก็ไม่ได้หมายความว่าเพื่อน
เราจะนั่งเรียนอยู่ทุกคน 


                                 

เรา... พูดคุยเสียงดังโหวกเหวกเมื่ออยู่ในห้องเรียน
แม้... ในมหาวิทยาลัยเราจะพูดคุยเสียงดังเพียงไหนก็ไม่ได้หมายความว่าเพื่อนๆ ทุกคนจะได้ยิน


เรา... กลับบ้านทุกเย็นหลังโรงเรียนเลิก
แม้... บ้านเราจะอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเพียงไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าเพื่อนที่อยู่ใกล้บ้านเราที่สุด

จะได้กลับบ้านทุกวัน


เรา... นัดไปเที่ยวกันในวันหยุด
แม้... ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยจะมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะนัดเพื่อน

ไปได้ครบทุกคน

ถึงแม้...  กล้องดิจิตอลในมือถือเราจะมีความละเอียดสูงสุดถึง 10 ล้านพิกเซล ก็ไม่ได้ความว่าจะ
เก็บภาพเพื่อนๆ ได้ทุกคนพร้อมๆ กัน

ขอบคุณข้อมูจาก  yenta4.com
http://kapooknews.blogspot.com

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

10 คนดังระดับโลก ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้




10 คนดังระดับโลก ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้



10 คนดังระดับโลก ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้

ตั้งแต่เด็กผู้ใหญ่เคยสอนว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ อาจจะใช้ได้
กับแต่ละบุคคล แต่เห็นทีว่าจะใช้ไม่ได้กับดารา คนดัวระดับโลก ที่พวกเขาเรียนไม่จบ
มหาวิทยาลัยแต่สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่!!! ขอบอกก่อนนะคะว่า ไม่ใช่ว่าการเรียนนั้น
ไม่สำคัญ บางครั้งอาจจะมีอุปสรรค เราก็ต้องใช้ความเพียร พยายาม อดทนด้วย ถึงแม้เราจะมี
พรสวรรค์ทางด้านต่างๆแต่ถ้าไม่มีพรแสวงก็ไม่ประสบความสำเร็จนะคะ  อยากให้เพื่อนๆ
ดูเป็นตัวอย่างว่าคนดังเหล่านี้เขาพึ่งตนเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง ทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะ
ให้ได้มาซึ่งเป็นควาฝันของพวกเขา ^^ .. 10 คนดังระดับโลก ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความ
สำเร็จได้


10 คนดังระดับโลก ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้

1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin

ด้วยภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย 

ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับ
นักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอย
แถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น

2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Channel

เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนล

ผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์
ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้าสร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอ
เป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง


3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell

ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุด

เรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC’s Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผัน                  
ตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก 
ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) 
เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน


4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motor

เขาออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์

ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T 
ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ


5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft

ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 – 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่

จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้ว
ยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษา
และสุขภาพแก่คนทั้งโลก


6.สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Apple

เรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น 

บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ
ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์
เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์


7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) : ผู้กำกับระดับออสการ์

หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็

พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด
 หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงาน
ผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, 
ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวาตาร


8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลก

กว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้ง

แต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสอง
เทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความ
สำเร็จในชื่อ “เลดี้ กาก้า” ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง “เรดิโอ กา ก้า”


9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก

เล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน

11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟ
มืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี


10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) : ผู้ก่อตั้ง Facebook

ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่

เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็น
ผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก

*จะดีมั้ยถ้าประเทศไทย วัดคุณภาพคนและคุณภาพงาน จากตัวตนและผลงานของคนๆนั้น

จริงๆ โดยไม่ดูที่ใบปริญญา?!?    

ขอบคุณข้อมูลจาก www.samaphon.blogspot.com

http://teen.mthai.com/variety/19521.html

ปล. โปรดใช้วิจารณญาน บทความนี้ไม่ได้หมายถึงว่าการเรียน

นั้นไม่สำคัญแต่อยากให้รู้ว่าอย่าวัดค่าคนแค่ใบปริญญา ^^

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ชีวิตมหาลัยกับความโดดเดี่ยว



ชีวิตมหาลัยกับความโดดเดี่ยว



เคยมีความรู้สึกมั๊ย ?  ว่าบางทีแม้เราจะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวไม่มีใคร  มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่ต้องพบเจอกับความรู้สึกเแย่แบบนี้ทุกๆวัน   ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้เป็นคนอัธยาศัยแย่อะไร  ทั้งๆที่เมื่อก่อนเราก็มีเพื่อนเยอะแยะ  





        
    คำว่าพื่อนสำหรับที่นี่!!!! สำหรับในมหาลัยมันเหมือนคำที่ใช้เรียกแบบแค่ผิวเผิน  เราทุกคนเหมือนกับถูกจับมารวมกันแล้วก็ต่างคนต่างอยู่เพื่อให้แต่ละวันมันผ่านๆ  พอมีงานมีกิจกรรมก็ค่อยร่วมมือร่วมใจทำจนมันผ่านพ้นไปได้ดีและตอนนั้นดูเหมือนทุกคนจะดูสนิทกันมากและเข้ากันได้ดีแต่พอหลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม   นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกเลยจริงๆที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนเพื่อนบ่อยมาก   และหลายต่อหลายคนที่รู้จักก็เข้ามาปรึกษาเรื่องนี้  ก็อย่างว่าเราจะมีเพื่อนทำไมถ้ามีอยู่แต่เค้าไม่เคยรับฟังเรา  ไม่สนใจที่เราพูด  แสดงออกว่าเค้าก็ไม่ได้แคร์เราเท่าไหร่  ไม่สนใจว่าเราจะเป็นไงจะทำไรก็ทำจะไปไหนก็ไปแล้วค่อยมาถามทีหลังว่าทำไมเราไม่ไปไม่ทำ เวลามีปัญหาก็ปรึกษาอะไรไม่ได้ เหอะๆ  บางทียังรู้สึกเลยว่าอยู่คนเดียวยังสบายใจสะกว่ามีเพื่อนแบบนี้ อย่างเพื่อนคนก่อนๆที่เจอมารู้สึกเลยว่านิสัยเราเข้ากับเค้าไม่ได้แม้อยู่ด้วยกันเป็นสามสี่เดือนแล้วก็ตาม  แม้บางสิ่งบางอย่างเราจะทำเป็นไม่ใส่ใจมันเแล้วก็ตามแต่สุดท้ายผลออกมาคือมันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้อยู่ดี  ทำไมถึงเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้มันทำให้รู้สึกไม่มีความสุขเอาสะเลย  รู้สึกเบื่อหน่ายกับวันแต่ละวัน เครียดกับเรื่องเรียนก็เยอะอยู่แล้วนี่ยังจะต้องมาเครียดกับเรื่องเพื่อนอีก    เฮ้ออออ……..อยากจะเรียนให้มันจบๆ  ไปสะที  

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย


  ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย 

      มาดูกันสิว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงรึเปล่า?


1.ความรัก



2.ตอนเข้าห้องน้ำ






 3.การเลือกแชมพู



 4.การแต่งตัวตอนเช้า   โอ๊ยๆๆข้อนี้ เป๊ะเบย!!!  ช้านนนนรีบแล้วจริงๆ น่ะ 








    ไม่มีชุดจะใส่จิงๆ น่ะ  อิอิ ทั้งที่มีชุดอยู่เต็มตู้เสื้อผ้า 5555 (ก็ผู้หญิงนี่ค่ะ)



5. การจัดของ





5.เข้าร้านตัดผม




วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จดเลคเชอร์วิชาเรียน แบบขั้นเทพ!

จดเลคเชอร์วิชาเรียน แบบขั้นเทพ! ใช้ ภาษาวัยรุ่น ให้ถูกทาง


สมัยนี้! อะไรมันก็ต้องว่องไว รวดเร็วไว้ก่อน .. ยิ่งเฉพาะ วัยรุ่น สมัยนี้เห็นแล้วยิ่งปวดหัว ?เวลาพูดก็ย่อภาษาไทย ซะจนอ่านไม่รู้เรื่อง?ไม่รู้จะรีบไปไหนกัน วัยรุ่นที่ดีก็ไม่ควรทำตามนะคะ ^^ อยากจะชวนเพื่อนมาใช้ภาษาให้ถูกต้อง และมีประโยชน์กันหน่อยดีกว่า?
เริ่มจากนี่เลย .. ในห้องเรียน ในวิชาต่างๆ อาจารย์ก็มักจะชอบให้จดสิ่งสำคัญๆไว้ใช่ไหมหล่ะ ยิ่งในระดับ มหาวิทยาลัย แล้วก็ต้องจดเลคเชอร์กันแน่ๆ ก็เลยอยากแนะนำเทคนิคการจดเลคเชอร์แบบขั้นเทพมาฝากกัน รับรองว่าจดทุกคำที่สำคัญทัน เข้าใจง่าย และ ภาษา ที่ใช้นั้นไม่วิบัติแน่นอนคะ ^^
ภาษาวัยรุ่น

เริ่มต้นด้วยสัญลักษณ์ :? จดเลคเชอร์วิชาเรียน แบบขั้นเทพ! ใช้ ภาษาวัยรุ่น ให้ถูกทาง

ดอกจัน (*)?เคยได้ยินอาจารย์บอกว่า ?เอ้า..ดอกจันเอาไว้ตรงนี้? มั๊ยคะ แบบนี้เพื่อนๆก็ต้องรีบทำตามโดยด่วนเลย เพราะที่อาจารย์บอกนี่แหละ คือคีย์เวิร์ดที่ได้ใบ้ให้แล้วว่ามันสำคัญ ดังนั้นเวลาเราจดเลคเชอร์อยู่ ถ้ารู้สึกว่ามันสำคัญ ก็ดอกจันไว้ข้างหน้า ดีกว่ามานั่งจดว่ามันสำคัญนะ!!
แดท (-)?เอาไว้ขึ้นย่อหน้าใหม่ หรือขึ้นประเด็นใหม่ แนะนำนิดนึงว่า เวลาจดไม่ควรจดยาวเป็นคอยีราฟนะคะ ควรจะจับใจความสำคัญ แล้วค่อยเขียนลงไปมากกว่า เพราะเวลากลับมานั่งอ่านซ้ำ ถ้าจดยาวรับรองได้ว่า มึนเป็นไก่ตาแตกแน่ๆ
หมวกหงายหรือตัววี (v)?ใช้แทนคำว่า ?หรือ? อันนี้ใช้ตามหลักตรรกศาสตร์ในวิชาคณิตศาสตร์ จะช่วยลดเวลาในการจดได้ดีทีเดียว
เครื่องหมายบวก (+)?ใช้แทนคำว่า ?และ?
ลูกศรขึ้น/ลง?ใช้ในความหมายตรงตัว ก็คือ ?มากขึ้น? หรือ ?น้อยลง?
ลูกศรชี้ไปทางขวา (?)?ใช้แทนคำว่า ?นำไปสู่? ?ไปยัง? หรือใช้แทนความหมายที่ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงก็ได้
รูปหัวใจ?ใช้แทนคำว่า ?หัวใจ? หรือ ?หัวใจสำคัญ? อันนี้ก็ใช้บ่อยเหมือนกันนะคะ เป็นตัวแทนของคำหรือประโยคที่เราจะเน้นว่าสำคัญ ^^
เครื่องหมายคำถาม (?)?ใช้แทนคำว่า ?อะไร? ?ใช่มั้ย? เช่น เพราะ? หรืออาจใช้ในข้อความที่เราจดแล้วไม่แน่ใจ ต้องกลับไปหาคำตอบเพิ่ม

การศึกษา

?อักษรย่อ?:?จดเลคเชอร์วิชาเรียน แบบขั้นเทพ! ใช้ ภาษาวัยรุ่น ให้ถูกทาง

เพื่อนๆเป็นกันรึเปล่า? เวลาที่ต้องจดคำหรือประโยคยาวมากๆมักจะจดไม่ทัน ต้องรีบจด จดยาวเป็นหางว่าวกลับมาอ่านอีกทีก็มึนซะแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหัดย่อคำให้เป็นนิสัยแทน คราวนี้อาจารย์จะพูดยาวแค่ไหน เราก็ไม่หวั่น ^^
?อักษรย่อที่มีอยู่แล้ว?เช่น ร.ร.(โรงเรียน), ปวส.(ประวัติศาสตร์), ตย.(ตัวอย่าง), ปท.(ประเทศ), นน.(น้ำหนัก), เป็นต้น หรืออักษรย่อวันต่างๆ คำย่อพวกนี้ใช้ได้เต็มที่เลยค่ะ ซึ่งการใช้อักษรย่อนั้นเราไม่จำเป็นต้องถูกหลักเป๊ะก็ได้ เพราะอย่าลืมว่าเราใช้อักษรย่อเพื่อให้จดเร็วขึ้น มานั่งเครียดว่าเอ๊ะ! เราใส่จุดถูกที่รึเปล่า แบบนี้ช้ากว่าเดิมแน่นอน อีกอย่างสมุดเลคเชอร์เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเรา ใช้เพื่อความเข้าใจของเราเท่านั้น แต่ยังไงซะ ถ้าออกมากจากสมุดเราแล้วก็ต้องใช้ให้ถูกต้องตามหลักภาษานะคะ
ย่อเป็นภาษาอังกฤษ?เช่น coz(cause)(เพราะ), OK.(โอเค), Gr.(กลุ่ม) เป็นต้น คำภาษาอังกฤษพวกนี้ก็เป็นคำง่ายๆ คุ้นเคยกันอยู่ เอามาใช้ก็จะสะดวกกว่า
ย่อเพื่อลดคำ?เช่น ก.(การ) , ค.(ความ), ญ.(ผู้หญิง), ช.(ผู้ชาย), ศ.(ศาสนา) เป็นต้น วิธีนี้เราย่อเพื่อความสะดวกของเราเองค่ะ อย่างคำว่า ?การ? และ ?ความ? พบบ่อยมากๆ ในภาษาไทย ถ้าเรามัวแต่เขียนเต็มทุกคำ ทำมาหากินไม่ทันเพื่อนแน่นอน อาจจะเห็นบ่อย เช่น ค.สุข ค.เศร้า ก.พนัน ฯลฯ
ย่อให้เหลือแต่คำหน้า ในคำที่รู้คำเต็ม?เช่น วิทยาศาสตร์ จดเป็น วิทย์ ,คอมพิวเตอร์ เป็น คอมฯ คำพวกนี้มักเป็นคำที่เข้าใจความหมายตั้งแต่คำแรก แล้วเราจะเขียนเต็มคำเพื่ออะไรล่ะ??
ย่อตามความคุ้นเคยของตัวเอง?เช่น เพราะ ย่อเป็น พ. ประโยชน์ เป็น ปย. สมัย เป็น ส. วิธีนี้เสี่ยงหน่อย ต้องใช้บ่อยๆ และจำให้ได้ เพราะมีโอกาสที่จะลืมสูงมาก บางทีจดเองก็งงเองว่าย่อมาจากคำว่าอะไร หรืออาจจะตีความหมายผิดไป เพราะฉะนั้นต้องใช้ให้คุ้นเคย เพราะมีเราคนเดียวที่เข้าใจ เผลอลืมไปคนอื่นก็ช่วยไม่ได้นะจ๊ะ
ข่าวการศึกษา
ห้ามพลาด!! แนะอีกนิด : เพื่อนๆอาจจะใช้ ปากกาเมจิกหัวเล็กในการ?จดเลคเชอร์ ก็ได้นะคะ วิธีนี้ใช้บ่อยที่สุดเลย ไล่ความสำคัญตามสี เช่น สีแดง เป็นคำสำคัญ , อาจจะใช้สีแบ่งตามกลุ่มหัวข้อก็ได้อยู่นะ หรือใช้ปากกาเน้นคำ เลือกเอาสีเด่นๆได้ยิ่งดี สามารถทำให้เรามองเห็นคีย์เวิร์ดสำคัญได้ง่ายด้วย ไม่ต้องหาจนตาลาย?และวิธีนี้ผลสำรวจก็บอกว่า การใช้สีในการ?จดเลคเชอร์ นั้นจะทำให้สมองของเรามีการจดจำได้ดีกว่าวิธีอื่นด้วยนะคะ!
เพื่อนๆก็ได้รู้เคล็ดลับ?จดเลคเชอร์วิชาเรียน แบบขั้นเทพ! ไปแล้วยังไงก็อย่าลืม ใช้ ภาษา ให้ถูกทางด้วยนะคะ ^^
ขอบคุณที่มา?eduzones.com,?dek-d.com

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์




" 9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ "


 
โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด เป็นเจ้าของโรงเรียนและสถาบัน
อัจฉริยะสร้างได้ http://www.geniuscreator.com/GFam.htm
1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว
ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมอง เหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดี
ระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง
วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thetaซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความ
คิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจการตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับ
พฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่ง
ที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น
ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ


6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่
อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่ง
ใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ
สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์


7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง
เป็นการลดภาระของสมอง


8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่
ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับ
หลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์


9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่ง
พลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ
อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่ม
ขึ้นอีก 20 %


การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตามเพราะฉนั้นอย่าลืมใส่ใจดูแลสมองกันน่ะค่ะ  = w =


ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://www.nongmaiclub.com  ^^